การเห็นดวงธรรมที่ถูกต้องนั้นคืออย่างไร

     เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเรียนรู้แต่เบื้องต้นว่า  การเห็นดวงธรรมที่ถูกต้องนั้นคืออย่างไร  การเห็นที่ถูกต้องนั้น  มีกฎเกณฑ์ดังนี้

     ๑.เห็นดวงธรรมในท้องของตนเอง  คือเห็นที่ศูนย์กลางของกาย  การเห็นนอกท้องของตน  เรืยกว่า “เห็นนอก” เป็นการเห็นที่ผิด

     ๒. ปัญหาใหญ่อยู่ที่เรามักเห็นนอกตัวเรา  คือเห็นนอก  เกิดจากการเลื่อนดวงนิมิตจากฐานที่ ๒ (เพลาตา)  ไปฐานที่ ๓ (จอมประสาท)  ไม่เหลือกตากลับเข้าไปในกะโหลกศีรษะ  ความเห็นของเราจึงไม่เข้าไปในกาย  เราจึงมักเห็นดวงธรรมนอกกายกันเป็นส่วนใหญ่  การเห็นลักษณะนี้  เป็นความผิดอย่างมหันต์  ดังนั้น  จึงต้องรีบแก้ไขการฝึกเบื้องต้นให้ถูกต้อง

         ปกติเรามองเห็นสิ่งรอบตัวเราเป็นการ

เห็นข้างนอกอยู่แล้ว  ต่างกับการเห็นของการ

พัฒนาใจ   การพัฒนาใจจะต้องเห็นข้างใน

จึงต้องฝึกการเหลือกตาให้ชำนาญ  คือการทำ

ตาขาวเหมือนคนเป็นลม  แล้วนึกให้ดวงนิมิตใส

เข้าไปอยู่ในกะโหลกศีรษะของตัวเรา  และเมื่อ

ดวงนิมิตใสเข้าไปอยู่ในกะโหลกศีรษะแล้ว  ให้

เราลืมเรื่องเหลือกตาทันที  คงใช้ความรู้สึกคือใจ

มองนิมิตต่อไป  หากฝึกเหลือกตาเป็นแล้ว

เราก็จะเห็นดวงธรรมข้างใน  คือเห็นในท้องของเรา

     ๓. ระหว่างการฝึก  ให้ทำใจนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายเพียงอย่างเดียว  เห็นหรือไม่เห็น  ก็ให้จรดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายสถานเดียว  ไม่ส่ายใจไปทางอื่น  ให้วางใจไว้ที่ศูนย์กลางกายเท่านั้น  มืดหรือสว่างก็จรดใจที่ศูนย์กลางกายเท่านั้น  ไม่ต้องส่ายใจไปที่อื่น  ในที่สุด  ที่เราว่ามืดนั้น  จะสว่างขึ้นมาเอง  โปรดจำไว้ว่า  การเห็นนั้น  จะต้องเห็นที่ศูนย์กลางกายเท่านั้น

     ขณะที่เราวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย  กิเลสเขามักจะแกล้งเราให้เราเห็นสว่างที่หน้าอก  ให้เห็นเป็นไฟฉายมาที่ใบหน้า  เห็นสว่างที่ศีรษะ  เห็นความสว่างที่นัยน์ตา  กรณีอย่างนี้  ห้ามส่ายใจไปมองดูความสว่างเหล่านั้น  คงให้ภาวนามองดูที่ศูนย์กลางกายเท่านั้น

     บางรายไม่ทราบวิธีหลอดของกิเลส  แต่แรกกำหนดนิมิตก็ว่าดวงนิมิตชัดเจนดีอยู่  แต่พอเลื่อนดวงนิมิตไปที่ศูนย์กลางกายภาวนาได้สักครู่  เกิดมืดไม่เห็นดวงนิมิต  แต่ไปเกิดความสว่างรอบตัวเราเกิดความสว่างตามที่ต่างๆดังกล่าวนั้น  กรณีเช่นนี้  ห้ามส่ายใจไปดูคงยึดมั่นและภาวนาที่ศูนย์กลางกายดังเดิม และอีกไม่นานความมืดนั้นจะกลายเป็นสว่าง  จะเห็นดวงธรรมค่อย ๆ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุด  เราก็เห็นดวงธรรมได้ตลอดปลอดโปร่ง

     กรณีที่รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย  หรือความรู้สึกคันตามตัวเสมือนมีตัวอะไรคลาน  อย่าได้ส่งความรู้สึกไปรู้สิ่งเหล่านั้น  เพราะอีกไม่นาน  ท่านก็จะบรรลุผลของการฝึกแล้ว  หากท่านใช้มือเกาตามร่างกายหรือไปปีบเท้าเพื่อคลายความปวดเมื่อย  ใจของเราจะถอนออกจากศูนย์กลางกายทันที  การฝึกไม่ได้ผล  ต้องมาตั้งต้นใหม่  ความปวดเมื่อยมีอยู่บ้าง  แต่คันตามตัวไม่มีอะไรมาคลานเป็นเรี่องของกิเลสที่จะทำให้การฝึกของเราไม่ได้ผลเท่าที่ควร  ดังนั้น  การฝึกเบื้องต้นจึงขอร้องให้เราอดทน  หากจะขยับกาย  ใจต้องไม่เคลื่อนจากศูนย์กลางกาย

     ๔. การเห็นดวงธรรมที่แท้จริง  เพียงแค่นึกจะให้เห็น  ก็เห็นดวงธรรมใสแจ่มจรัสที่ศูนย์กลางกาย  อารมณ์ของเราแช่มชื่นอยู่กับดวงธรรมนั้น  หลับตาก็เห็น  แม้ลืมตาก็เห็น  แสดงถึงว่าได้ฝึกใจมาชำนาญแล้ว  ห้จรดใจไว้กับดวงธรรมเนือง ๆ ดวงธรรมก็ให้ความคุ้มครองรักษา  แม้จะพูดหรือคิดหรือตัดสินใจ  จะถูกต้องไปทั้งหมด   นี่คือดวงธรรมให้การคุ้มครองรักษา  ไปไหนมาไหน  ไม่มีอันตราย  พระศาสดาทรงยืนยันว่า  จิตตํ  ทนฺตํ  สุขาวหํ  แปลว่า  จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้  เราเกิดความรู้สึกว่า  พระศาสดาตรัสไว้ถูกแล้ว  เพียงเราพัฒนาใจเบื้องต้น  เรายังได้รับประโยชน์ถึงเพียงนี้  หากเราขยันหมั่นเพียรต่อไป  เราจะได้รับความสุขมากกว่านี้แน่นอน

 

สรุปคำสอนของพระศาสดา  ๓  ข้อ

     ก่อนที่เราจะได้เรียนความรู้ขั้นสูงว่าด้วยการพัฒนาใจต่อไปนั้นเรามาสรุปความรู้เบื้องต้นเสียก่อนว่า  เราได้อ่านและเรียนรู้วิธีฝึกใจเบื้องต้นอะไรบ้าง  ทั้งนี้  เพื่อให้ความรู้ของเราเป็นระเบียบ  ความรู้เรื่องใดที่เรายังไม่แม่นยำ  ควรเปิดอ่านและทบทวนดูใหม่

เราเรียนมาแล้วว่า  มนุษย์มีความ

ต้องการอะไรบ้าง  ความต้องการของมนุษย์

จะสามารถเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างทันตา

เห็น  ถ้าหากเราสามารถพัฒนาใจไปตาม

คำสอนของพระศาสดา

     เราได้เรียนรู้ต่อไปว่า  พระศาสดาสอนอย่างไร  พระศาสดาทรงสอน ๓ ข้อ  คือ  ให้เว้นกระทำชั่ว (บาป)  ด้วย กาย  วาจา  ใจ  และให้ทำใจให้ใสสว่าง

     คำสอนข้อ ๓  ว่าด้วยเรื่องการทำใจให้สว่างใสนั้น  มีความรู้ที่เราต้องเรียนมากมาย  และเราได้ทราบวิธีพัฒนาใจเบื้องต้นมาแล้วหากหลงลืมหรือไม่เข้าใจ  โปรดอ่านทบทวนใหม่  เพราะต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องการพัฒนาใจชั้นสูง  ความรู้ว่าด้วยการพัฒนาใจเกี่ยวข้องกันทั้งหมด  ทั้งความรู้เบื้องต้นและความชั้นสูง  หากความรู้ใดไม่แม่นยำ  จำต้องอ่านทบทวนอีกครั้งหนึ่ง

 

บางส่วนจากหนังสือ ทางรอดของมนุษย์ฯ หน้า 27  :  อ่านทั้งหมด | หน้าแรก