เรามาเรียนกันว่า มนุษย์เรามีความต้องการอะไรบ้าง มีนักปราชญ์กล่าวไว้ต่างกัน ในที่นี้ขอกล่าวถึงความต้องการของมนุษย์ว่ามนุษย์มีความต้องการ ๒ อย่าง คือ
(๑.)ความต้องการส่วนตัว เป็นความต้องการส่วนตัวของแต่ละบุคคล
(๒.)ความต้องการของมนุษย์ที่มีต่อโลก คือต้องการให้โลกเป็นที่น่าอยู่น่าอาศัย
ความต้องการส่วนตัวของมนุษย์
แบ่งเป็น ๒ อย่างคือ ความต้องการทางโลกและความต้องการทางธรรม ความต้องการทั้ง ๒ นั้น ต่างกันอย่างไร?
ก.ความต้องการส่วนตัวของมนุษย์ในทางโลก หมายความว่าเราเป็นคฤหัสถ์ ไม่ได้เป็นนักบวชในศาสนา คฤหัสถ์มีความต้องการอะไรบ้าง ความต้องการของเราเป็นดังนี้
ต้องการอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อันเป็นความต้องการพื้นฐาน ต้องการความสำเร็จในอาชีพ ต้องการคู่ครองที่ดี มิตรดี อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ อยากได้นายดี มีคุณธรรม เพื่อนดี ลูกน้องดี อยากใหรูปร่างหน้าตาดี อยากให้อารมณ์ดี ปัญญาดี เป็นต้น
ข.ความต้องการส่วนตัวของมนุษย์ในทางธรรม ในเรื่องเกี่ยวกับคำสอนของพระศาสดานั้น มีอยู่มากที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เพราะมนุษย์จะต้องปฎิบัติตามคำสอนนั้น ความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่ต่อคำสอนนั้น มีอย่างไร?
ต้องการที่จะเข้าใจคำสอนของพระศาสดา ต้องการที่จะจดจำคำสอนให้ได้ทั้งหมด อยากเข้าถึงธรรมตามคำสอนของพระศาสดาให้ได้ อยากให้หมดชาติหมดภพ ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายอย่างที่พระศาสดาประสบความสำเร็จไปแล้ว เมื่อตายแล้วขอให้สู่สวรรค์ ความต้องการในทางธรรมของเราเป็นอย่างนี้
ความต้องการของมนุษย์ที่มีต่อโลก ไม่อยากให้โลกมีการเบียดเบียนกัน ไม่อยากให้มีสงคราม ไม่อยากให้มีมลภาวะเป็นพิษ ไม่อยากให้มีภัยธรรมชาติ ไม่อยากให้มีโจรผู้ร้าย ไม่อยากให้เศรษฐกิจตกต่ำ ....ฯลฯ
ความต้องการของนักบวช นักบวชคือผู้ไม่ครองเรือนออกบวชเพื่อการศึกษาและสืบคำสอนของพระศาสดา เผยแพร่คำสอนปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดา เพื่อบรรลุธรรมวิเศษอย่างที่พระศาสดาได้ทรงบรรลุมาแล้ว นักบวชมีครอบครัวไม่ได้ ทานอาหารมื้อเย็นไม่ได้ จะต้องประพฤติตามข้อห้ามแห่งศีล อย่างสงฆ์ไทยมีศีล ๒๒๗ ข้อ การดำเนินชีวิตประจำวันของสงฆ์ไทย แทบทำอะไรไม่ได้กระดุกกระดิกตัวแทบไม่ได้ เพราะข้อบังคับของศีลห้ามไปหมด พระสงฆ์ไทยจึงบริสุทธิ์เหลือหลาย เหตุนี้เอง พระสงฆ์ไทยจึงเป็นเนื้อนาบุญของโลก ใครจะทำบุญต้องทำแก่สงฆ์ไทย เพราะพระสงฆ์ไทยบริสุทธิ์ด้วยศีล
เรามาเรียนกันว่า นักบวชมีความต้องการอะไร คำตอบก็คือนักบวชไม่ดำเนินชีวิตอย่างผู้ครองโลก เห็นว่าการดำเนินชีวิตอย่างฆราวาสเป็นทุกข์ ต้องการมีชีวิตอย่างมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ นั่นคือบังคับความประพฤติให้อยู่ในบังคับแห่งศีล ศีลมีข้อบังคับไว้มากแค่ไหน ก็จะต้องบังคับตยเองให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งศีลนั้น พระบรมศาสดาทรงประพฤติอย่างไร พระสงฆ์ไทยก็ประพฤติเช่นนั้น เหตุนี้นักบวชจึงมีความต้องการที่จะเข้าถึงพระสัทธรรมของพระศาสดา ต้องการเข้าถึงธรรมอันวิเศษที่พระศาสดาได้เข้าถึงมาแล้ว ต้องการความหลุดพ้น ไม่เวียนว่ายตายเกิดอย่างที่พระศาสดาได้ประสบความสำเร็จมาแล้ว ต้องการเผยแพร่คำสอนของพระศาสดาให้ทั่วโลกเพื่อมวลมนุษย์จะได้ประพฤติตนในทางที่จะพ้นทุกข์
เรื่องคำสอนของพระศาสดานั้น มีทั้งเบื้องต้น ระดับกลาง และระดับสูงยิ่ง สุดแต่ความสามารถของปวงชนที่จะปฏิบัติได้ระดับใดเลือกได้ตามความสามารถของตน คำสอนของพระศาสดานั้นมีถึง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ เรียนกันเท่าไรไม่รู้จบสิ้น เหตุที่คำสอนมีมากก็เพราะว่าความรู้นั้นมีมากระดับ ทั้งระดับเบื้องต้น ระดับกลาง และระดับสูง หากเราเรียนกันเพียงว่าอ่านให้จบ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม มุ่งแต่ให้จบสถานเดียว เพียงแค่นี้ ยังต้องใช้เวลาหลายปี ถ้าต้องการอ่านแล้วและเข้าใจด้วย จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก
หากมีความต้องการจะพัฒนาใจตนให้เข้าถึงคำสอนเหล่านั้น จะต้องใช้เวลาฝึกฝนอบรมจิตใจเรานานยิ่งขึ้นไปอีกมาก
ซึ่งเรื่องการพัฒนาใจให้เข้าถึงพระธรรมของพระศาสดานั้น เป็นเรื่องทำได้ยาก หากเราสามารถต่อสู้กับความยากลำบากนั้นได้ ใจเราจะเข้าถึงธรรมอันวิเศษ ส่งผลให้ใจเราสงบระงับ เกิดความสุขทางใจอันประณีตและยังส่งผลกระทบไปถึงโลกเราด้วย
คือทำให้โลกสงบ โลกเราจะมีแต่ความสงบ ไม่มีสงคราม ไม่มีการเบียดเบียนกัน มวลมนุษย์จะเป็นมิตรกันทั่วโลก โลกลักษณะนี้เป็นโลกที่น่าอยู่น่าอาศัย
แต่ถ้ามนุษย์ในโลกไม่พัฒนาใจให้เข้าถึงพระธรรมอันยิ่งนั้น ใจเราก็เป็นที่มั่วสุมของกิเลสทั้งหลาย กิเลสย่อมส่งผลไม่ดีงามทั้งปวงเราจะมีแต่ทุกข์ร้อนไม่วายเว้น เสร็จเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่อง ตามแต่อานุภาพของกิเลสจะให้เป็นไป เมื่อกิเลสเข้าครอบงำใจเราได้ คือ เขายึดอำนาจปกครองได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็เป็นผลงานของกิเลสทั้งนั้น
บางส่วนจากหนังสือ ทางรอดของมนุษย์ฯ หน้า 3 : อ่านทั้งหมด | หน้าแรก