วัดปากน้ำภาษีเจริญ

ความเจริญของวัดปากน้ำปลายสมัยของหลวงพ่อ

     หลวงพ่อเริ่มอาพาธตั้งแต่ปี ๒๔๙๙ นั้น หลวงพ่อมีสมณศักดิ์เป็น “พระมงคลราชมุนี” จัดว่าเป็นยุครุ่งเรือง เพราะมีผู้มีจิตศรัทธามาสร้างเสนาสนะให้มากขึ้น มีพระเณรมากขึ้น มีคนมาเรียนภาวนากันมากขึ้น สำนักบาลีวัดปากน้ำโด่งดัง เพราะพระเณรสอบเปรียญเอกได้มากขึ้น รวมความว่าชื่อเสียงวัดปากน้ำระบือนามไปทั่ว

     ที่น่าเป็นห่วงอยู่ก็เรื่องรับแขกของหลวงพ่อ หลวงพ่อต้องรับแขกทั้งที่ป่วย ใครเขามาวัดหากไม่มีโอกาสได้กราบหลวงพ่อก็แปลว่า เขาผิดหวังอย่างมาก ทางวัดแก้ปัญหานี้ไม่ตก ต้องยอมให้ประชาชนได้เข้ามาไหว้ ใกล้จะมรณภาพ หลวงพ่อไม่พูดแล้ว เพราะอาการของโรค แต่หลวงพ่อใช้สายตาพูดด้วย กล่าวคือหลวงพ่อจะมองที่ใบหน้าของเขาทั่วทุกคน แล้วแขกชุดนั้นก็กลับ แขกชุดใหม่เข้ามาอีก หลวงพ่อก็ทำอย่างนั้นอีก เหตุที่ผู้เขียนกล่าวอย่างนี้ เพราะผู้เขียนได้ไปไหว้ก่อนมรณภาพเพียงวันเดียว ได้ถวายของแก่หลวงพ่อ โยมประยูรไวยาวัจกรของวัดยังเอามือ หลวงพ่อมาแตะรับของถวายให้ด้วย ไม่นึกว่าหลวงพ่อจะมรณภาพในวันรุ่งขึ้น หากรู้ว่าหลวงพ่อจะมรณภาพในวันรุ่งขึ้นก็จะกราบอย่างทิ้งทวนทีเดียว แต่วันนั้นรู้สึกเฉลียวใจ ทำไมหลวงพ่อมองหน้าเราอย่างจ้องทีเดียว ทุกคราวที่เคยไปกราบระหว่างป่วย มักจะยิ้มให้ด้วยแล้วก็มองหน้า จากนั้นก็มองไปยังแขกผู้อื่น เรารีบกราบแล้วรีบกลับ แต่คราวนี้จ้องหน้า จนเราต้องหลบ รีบกราบแล้วก็กลับ พอมาถึงยุคที่หลวงพ่อได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระมงคลเทพมุนี” วัดปากน้ำยิ่งเจริญมากขึ้น

     ยุคที่หลวงพ่อเป็น “พระมงคลเทพมุนี” วัดปากน้ำมีลาภผลมาก แต่เรามักกังวลใจที่หลวงพ่ออาพาธถึงขั้นออดแอด แม้กระนั้นหลวงพ่อก็ยังรับแขกเหมือนเดิม การมากราบหลวงพ่อช่วงนี้ หลวงพ่อไม่พูดแล้ว ใช้สายตาคุยกับแขก ในช่วงใกล้มรณภาพ มีเสียงบ่นกันว่า หลวงพ่อหัวเราะให้หรือเปล่า หากรายใดหลวงพ่อหัวเราะให้ ถือกันว่าถูกใจหลวงพ่อ หากประกอบกรรมดี ถือว่าการอันนั้นถูกใจหลวงพ่อ หลวงพ่อถึงกับหัวเราะให้ รายใดที่หลวงพ่อไม่หัวเราะ แปลว่า ต้องปรับปรุงกิจการนั้นใหม่ หลวงพ่อหัวเราะให้ เท่ากับยาทิพย์ชะโลมใจ

 

 

บางส่วนจากหนังสือ อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ หน้า 44 : อ่านเพิ่มเติม