วิธีสร้างพระของขวัญของหลวงพ่อ
วิธีทำไม่เหมือนอย่างที่เกจิอาจารย์อื่นๆ ทำในปัจจุบัน หลวงพ่อไม่ได้ปลุกเสกหรือลงเลขยันต์ หรือเป่าคาถาใดๆ ไม่มีการจุดเทียนชัย เป็นวิธีทำของผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว ท่านใดที่ยังไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย จะทำอย่างหลวงพ่อไม่ได้ ทั้งที่เราอยากทำเพราะพระที่ประกอบขึ้นโดยวิธีนี้มีความศักดิ์สิทธิ์
วิธีประกอบความศักดิ์สิทธิ์
เมื่อพิมพ์พระผงได้ครบจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็นำมารวมไว้ในสถานที่ประกอบวิชา วันเริ่มทำคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ผู้เป็นวิชาธรรมกายมาพร้อมกัน แล้วหลวงพ่อก็เป็นผู้สั่งวิชา วิชาที่สั่งก็คือเดินวิชาเข้าอายตนะนิพพาน ให้ไปให้ลึก เข้าสิบเข้าศูนย์กายธรรมที่แก่ๆ เข้าไปเรื่อย ไม่ถอยหลังกลับ แล้วกลั่นกายทุกกายให้สะอาด ตลอดถึงกาย เถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด ในสายของภาคขาวมีเท่าไร? อารธนามารวมอยู่ในศูนย์กลางกายของต้นธาตุทั้งหมด
เมื่อเดินวิชาละเอียดเข้าไปแล้วเท่าไร? ก็นำเอาพระที่ประกอบความศักดิ์สิทธิ์คราวนี้ทั้งหมด เข้าไปไว้ในศูนย์กลางกายของต้นธาตุเหล่านั้นด้วย รวมพระเหล่านั้นเป็นอันเดียวกัน แล้วแยกออกเป็นธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน-ธาตุน้ำ-ธาตุลม-ธาตุไฟ เมื่อแยกออกเป็นธาตุทั้ง ๔ แล้ว ให้กลั่นธาตุเหล่านั้นให้ใสสะอาดเสมอกัน ใสทับทวีหนักเข้าไป
เห็นว่าใสเต็มที่แล้ว ก็รวมธาตุเหล่านั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีก “รวมกันประกอบขึ้นเป็นกายมนุษย์” แล้วก็ทับทวีเข้าไป เป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ-ละเอียด กายพรหมหยาบ-ละเอียด การอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด กายธรรม กายธรรมละเอียดเข้าไป จนถึงกายสุดหยาบสุดละเอียด แล้วเดินวิชามรรคผล ตั้งแต่ปฐมมรรค-มรรคจิต-มรรคปัญญา-โคตรภู-โสดา-สกิทาคา-อนาคามี-พระอรหัต ทับทวีเข้าไปถึงพระอรหัตที่แก่หนักเข้าไปอีก
เสร็จแล้ว แยกธาตุกายธรรมพระอรหัตนั้นออกเป็น ธาตุดิน-ธาตุน้ำ-ธาตุลม-ธาตุไฟ-อากาศธาตุ-วิญญาณธาตุ เมื่อแยกธาตุแล้วก็กลั่นธาตุเหล่านั้นให้ใสหนักขึ้นไปอีก
ครั้นเห็นว่าใสดีแล้ว ก็รวมธาตุเหล่านั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วให้ประกอบกันขึ้นเป็นกายมนุษย์ขึ้นอีก แล้วสลักเข้าไปในที่ ดวงเห็น-ดวงจำ-ดวงคิด-ดวงรู้ ของกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรม แล้วเดินวิชามรรคผล ตั้งแต่ปฐมมรรค-มรรคจิต-มรรคปัญญา-โคตรภู-โสดา-สกิทาคา-อนาคามี-พระอรหัต ทับทวีมรรคผลต่อกันไปแบบนี้ จนใสหนักขึ้นสะอาดหนักขึ้น เข้าถึงมรรคผลที่แก่หนักขึ้นไป แล้วก็แยกกายพระอรหัตนั้นออกเป็นธาตุ คือ ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม-อากาศ-วิญญาณ อีก
เมื่อแยกธาตุแล้ว ให้กลั่นจนใส ก็รวมกลับเข้าด้วยกันอีก ประกอบเป็นกายมนุษย์ขึ้นมาอีก มีดวงเห็น-ดวงจำ-ดวงคิดดวงรู้ เช่นเดียวกัน มีกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรม เดินวิชามรรคผล ตั้งแต่ปฐมมรรค-มรรคจิต-มรรคปัญญา-โคตรภู-โสดา-สกิทาคา-อนาคามี-พระอรหัต-พระอรหัตในพระอรหัต หนักเข้าไป แก่เข้าไป ละเอียดเข้าไป ไม่ถอยหลังกลับ
การเดินวิชาก็ทับทวีไปตามส่วน เข้ากลางละเอียดหนักเข้าไปทุกที เดินสลับกันไปมาแบบที่กล่าวมาแล้วนั้น ยิ่งละเอียดเข้าไปเท่าไร? ธาตุก็ยิ่งละเอียดหนักขึ้น แก่หนักขึ้น มรรคผลที่เข้าถึงก็ยิ่งละเอียดพิสดารยิ่งกว่าที่เคยเดินวิชากันมาแบบธรรมดา เรียกย่อๆว่า “รวมแล้วแยก” แต่ไม่ได้ทำอยู่ในที่เดิม หากแต่เข้าถึงธาตุและธรรมที่สูงขึ้นไป แก่ขึ้นไป ไม่มีการถอยกลับ คือ “ต้องเดินวิชชาเป็นเสมอ อย่าให้เป็นวิชชาตายได้เป็นอันขาด”
เมื่อได้เดินวิชามานานครบกำหนด ๓ เดือน ถึงวันออกพรรษา ตรงกับวัดแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ เวลาใกล้รุ่งจวน ๖ โมงเช้า หลวงพ่อท่านก็สั่งว่า ใกล้เวลาที่พระนี้จะสำเร็จเป็นองค์ขึ้นมาแล้วให้เร่งรัดวิชาให้หนักขึ้น แล้วก็สั่งว่า “พระที่ทำนี้ แม้ที่ทำมาแล้วในอดีต ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และที่จะมีต่อไปในอนาคต จะมีใครทำได้สำเร็จเหมือน เป็นไม่มี”
ฉะนั้น พระนี้จึงเป็นยอดของความศักดิ์สิทธิ์ เป็นยอดของความสำเร็จ ไม่มีใครเหมือน จึงให้ทับทวีความศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถป้องกันอันตรายทั้งหลายทั้งปวง เช่น ป้องกันโจรภัย-ภัยจากโจรผู้ร้าย อัคคีภัย-ภัยจากไฟ อุทกภัย-ภัยจากน้ำท่วม วาตภัย-ภัยจากลม วินาศภัย-ภัยจากความวินาศต่างๆ ภัยจากความทุกข์ทั้งหลาย ภัยจากอาวุธทุกชนิด ตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หากมีพระนี้ไปด้วย ก็จะคุ้มครองป้องกันเหตุร้ายทั้งหลาย มิให้เกิดมีขึ้นได้
แต่หากจะมีใครนำพระนี้ไปใช้ป้องกันตัว หรือทำการอันใดที่เป็นความทุจริตคิดมิชอบแล้ว ก็ให้พระช่วยบังคับกลับจิตใจคนเหล่านั้น ให้หันกลับสู่ความดี เลิกประพฤติชั่วเสีย ถ้าไม่เลิก พระท่านก็จะลงโทษบุคคลผู้นั้นโดยสมควรแก่ความผิด และขอให้ลาภผลทั้งหลายจงบังเกิดมีแก่ผู้ได้พบและมีพระไว้สักการะบูชา จะไปทำมาค้าขายในที่ใดๆ ก็ดี จงมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานนั้นๆ จะทำกิจการอันใดที่เป็นไปในทางที่ดีที่ชอบแล้ว ก็ขอจงสำเร็จผลตามความประสงค์ จงทุกประการ แม้ศัตรูหมู่พาล ก็อย่าเข้ามาคิดประทุษร้ายได้
เมื่อสั่งความศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ได้เวลารุ่งอรุณคือ ๖ โมงเช้าพอดี ก็ให้เดินวิชชามรรคผลต่อไปจนกระทั่ง “สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ในที่สุด”
กล่าวถึงคณะทำวิชา ก็จะต้องเดินวิชาต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าพระนี้เดินวิชชาเป็นอยู่แล้ว จึงนับว่าการเดินวิชามรรคผลในพระเหล่านี้ไม่มีหยุด เดินเป็นอัตโนมัติทีเดียว ฉะนั้นความศักดิ์สิทธิ์ของพระนี้ จึงจะยิ่งความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นทุกที ไม่มีอะไรที่จะทำให้เสื่อมไปจากความศักดิ์สิทธืได้
พระของขวัญที่หลวงพ่อทำมี ๓ รุ่น
รุ่นที่ ๑ ทำเมื่อกลางเดือน ๗ พ.ศ. ๒๔๙๓ เริ่มแจกในวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งวันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อแจกหมดในปีนั้นเอง
รุ่นที่ ๒ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ และแจกหมดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕
รุ่นที่ ๓ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ แจกหมดเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๑๔
พระของขวัญทั้ง ๓ รุ่น หลวงพ่อท่านเป็นประธานทุกรุ่นรุ่นหนึ่งมีจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ (เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์)
การแจกนั้น หลวงพ่อท่านแจกด้วยตัวของท่านเอง รุ่นที่ข้าพเจ้ารับ หลวงพ่อท่านมีเทปเปิดให้ฟังก่อน พอจบเสียงเทปแล้วหลวงพ่อจะออกมานั่งเก้าอี้เพื่อประกอบพิธีแจก ท่านกล่าวประสิทธิ์ให้เป็นภาษาบาลี พอกล่าวจบก็หย่อนพระลงในมือแก่ผู้รับ จะรับแทนกันไม่ได้ แม้จะเป็นเด็กน้อย ก็ต้องเอานอนผ้าอ้อมมารับเอง คนหนึ่งได้องค์เดียวเท่านั้น จะขอ ๒ องค์ไม่ได้ หลวงพ่อท่านวางกติกาไว้อย่างนั้น
ปลายชีวิตของหลวงพ่อคือตอนที่หลวงพ่ออาพาธ ได้มองหมายให้ท่านเจ้าคุณภาวนาโกศลเถร (พระมหาธีระหรืออีกชื่อหนึ่งคือพระมหาเจียก) เป็นผู้แจกแทน และเมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ท่านเจ้าคุณฯ เจียกก็แจกแทนมาตลอด
บางส่วนจากหนังสือแนวเดินวิชาหลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดาร 2 หน้า 663 : อ่านทั้งหมด | หน้าแรก