ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนอภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ

นามผู้เขียน นายการุณย์ บุญมานุช อดีตผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัด จันทบุรี

ผลงานเขียนวิชาธรรมกาย

๑. ตื่นเป็นสุข หลับเป็นสุข

๒. ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย

๓. วิธีสอนและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย (คู่มือวิปัสสนาจารย์)

๔. ไม่หยุดไม่ถึงพระ

๕. สร้างคุณธรรมสู่แผ่นดินธรรม สำหรับผู้ปกครองและผู้บริหาร

๖. ปราบมารภาค ๑ ปราบมารภาค ๒ ปราบมารภาค ๓ (วิชาธรรมกายชั้นสูง)

๗. พระศาสดาพาเราสู่ความเป็นอารยะ ให้เราสุขภาพดี เกิดสันติแก่โลกด้วยวิธีการอย่างไร

๘. อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ

๙. แนวการเดินวิชาตามคู่มือสมภารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (วิชาธรรมกายชั้นสูง)

๑๐. แนวเดินวิชาหลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (วิชาธรรมกายชั้นสูง)

๑๑. คติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

หนังสือปราบมารเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง

     หนังสือปราบมาร เป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง ได้พิมพ์ไปแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่เกจิอาจารย์ต้องเรียนรู้และรีบศึกษา เพราะเป็นการเตรียมตัวไว้แต่บัดนี้ หากรอไว้ จะเสียท่ามารเขาอีกแน่ๆ การเตรียมคนและเตรียมวิชา ต้องทำแต่ชาตินี้ จะรอไว้ชาติหน้าไม่ได้ หากท่านได้อ่านหนังสือ ปราบมาร ท่านจะทราบว่าบุญและบารมีของเรา มารเขามาย่อยแยก ระเบิด เอาไป ไม่รู้เท่าไร ต่อเท่าไร เมื่อเราไปรู้ไปเห็นเข้า เราสลดใจ และใครก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น แม้พระพุทธองค์เขาก็ไม่เว้นน่าอนาถใจ

     เป็นงานรับช่วงจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ ทำวิชารบมาแต่ปี ๒๕๒๗ ตราบเท่าทุกวันนี้ คืนหนึ่งๆ แทบไม่ได้นอนเลย ต้องทำวิชาสู้มารมาตลอด เป็นความรู้ที่ผู้คงแก่เรียนจะต้องเรียนและต้องทำ เรื่องราวของการปราบมาร และความรู้ที่ใช้เดินวิชา ได้พิมพ์ออกมาแล้วคือ ปราบมารภาค ๑ (พิมพ์เมื่อ ๒๕๓๓) ปราบมารภาค ๒ (พิมพ์เมื่อ ๒๕๓๖) และปราบมารภาค ๓ (พิมพ์เมื่อ ๒๕๓๙) และปราบมารภาค ๔ กำลังจะตามมา

ประสบการณ์ทางวิชาธรรมกาย

     ข้าพเจ้ากับวิชาธรรมกายเกี่ยวข้องกันมาตลอด พอเรียนหนังสือจบ ก็ออกรับราชการ ระหว่างที่เรียนหนังสือ ได้เรียนวิชาธรรมกายไปด้วย คู่กันไปกับการเรียนวิชาทางโลก ระหว่างที่ ทำราชการ เหตุการณ์จะต้องไปเป็นวิทยากรสอนวิชาธรรมกายมาตลอดชีวิต เราไม่อยากสอนก็มีคนมาบังคับให้ไปสอน เขียนหนังสือนั้นแค่งูๆ ปลาๆ ก็มีคนมาบังคับให้เขียน เขียนได้แต่วิชาธรรมกาย อย่างอื่นไม่เคยเขียนเลย

     พอแก่ตัวเข้าหน่อย กลับถูกธาตุธรรมบังคับให้ทำวิชาปราบมาร ทำไมวาสนามันอย่างนั้นก็ไม่ทราบ คือ ถูกบังคับอยู่เรื่อย ทางโลกก็โดนบังคับ ทางธรรมก็โดนบังคับ เมื่อถูกกำกับตัวให้ปราบมาร งานราชการต้องสละหมด เพราะขืนไปดำรงตำแหน่งเข้า จะไม่มีเวลาทำวิชาเลย ระบบของราชการเพียงไปประชุมอย่างเดียวก็หมดวันแล้ว จะต้องตัดสินใจว่า จะเอาราชการหรือจะ เอาธรรม เลือกเอาอย่างหนึ่ง จะเอา ๒ อย่างพร้อมกันไม่ได้ นี่คือปัญหาประจำวันของข้าพเจ้า ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่า ตัวเราจะต้องมาเป็นอย่างนี้

     หากข้าพเจ้าอยากดัง ก็น่าจะดังไปนานแล้ว เพราะมีจังหวะที่เขามายกตำแหน่งทางธรรมให้ แต่เราหนี เราไม่ยินดี เราหนีไปทำราชการ แต่ไม่พ้น แม้เป็นฆราวาสครองโลกมีครอบครัว พระท่านก็มาเชิญไปสอนวิปัสสนา ต้องมาเขียนตำราวิชาธรรมกาย สุดท้ายโดนให้ทำวิชาปราบมาร ครบเครื่องในยุทธจักรแห่งวิชาธรรมกาย หนีได้ที่ไหน ยิ่งหนีก็ยิ่งใกล้ นี่คือข้าพเจ้า ชะตาชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอยู่นี้ หนีธาตุธรรมท่านไม่พ้น ยิ่งหนียิ่งใกล้ ท่านใช้ให้เราทำอย่างนี้ นี่คือข้อต่างกันระหว่างท่านกับข้าพเจ้า หากใครนึกสงสารข้าพเจ้า แปลว่า ท่านคิดถูกแล้ว น่าสงสารตัวเอง เป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตแน่ ถึงเวลานอนเราไม่ได้นอน จะต้องไปแสดงวิชาธรรมกายตามบทบาท อย่างปีที่ไปสอนที่จังหวัดยโสธร ปีอะไรจำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเป็นเหตุการณ์นานมาแล้ว ไปถึง วัดเวลาเกือบ ๓ ทุ่ม เดินทางไปกับพระ เดินท่าไหนไม่ทราบ พลัดตกลงไปในแปลงปลักควาย เปื้อนโคลนไปทั้งตัว กว่าจะเดินถึงวัด กว่าจะอาบน้ำ และกว่าจะสอนได้ ทุลักทุเลน่าดู

     เป็นวิทยากรสอนวิชาธรรมกายแก่พระสงฆ์ที่อยู่ปริวาสกรรมในต่างจังหวัด เป็นวิทยากรให้แก่สถานศึกษาและหน่วยราชการ เป็นเวลาเกินกว่า ๒๐ ปี

     ทำวิชาปราบมารมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ตราบเท่าทุกวันนี้ ในสมัยที่เป็นวิทยากร เรายังพอมีเวลาว่าง วันใดไม่มีการสอน เราก็ว่าง ได้พักผ่อน แต่ทำวิชาปราบมารนี้ฉกาจฉกรรจ์ยิ่งนัก ต้องทำวิชาทุกวัน เว้นแม้วันเดียวก็ไม่ได้ ความรู้จะหยาบทันที หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านคาดคั้นว่า ถ้าศึกษาฯ แพ้ ก็แพ้กันหมด ถ้าชนะ ก็ชนะกันหมด คำนี้เอง ทำให้เราว่างไม่ได้เลย เพราะเรากลัวจะแพ้เขา

      ความรู้ว่าด้วยวิชาปราบมาร ตามที่พิมพ์ไปแล้วนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ แม้จะยาก เราต้องขวนขวาย เหตุการณ์อาจเป็นว่า ตัวท่านเองต้องมาทำวิชาบ้าง อย่างเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าประสบมา ท่านจะทำอย่างไร จะอ้างว่าความรู้นี้เราไม่ได้ ความรู้นั้นเราไม่เข้าใจ อ้างอย่างนั้นได้ที่ไหน

ประสบการณ์ในการทำวิชาปราบมาร

     ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาทำวิชาปราบมาร งานปราบมารนี้คือ หัวใจสำคัญของชีวิตหลวงพ่อ พูดอย่างเข้าใจง่ายก็คือ หลวงพ่อมาเกิดคราวนี้ ก็เพื่อมาทำวิชาปราบมาร งานอื่นเป็นงานแฝงไม่ใช่หัวใจสำคัญของงาน หัวใจสำคัญของงานที่แท้คือ “ปราบมาร” เราท่านทราบตรงกันว่า หลวงพ่อท่านตั้งเวรทำวิชา ๖ เวรๆ ละ ๓ ชั่วโมง ทำติดต่อกันมากว่า ๓๐ ปี ต่อเมื่อ หลวงพ่อมรณภาพแล้ว งานปราบมารขาดตอนลงเพียงนั้น

     งานปราบมารมาเริ่มใหม่อีกครั้งหนึ่ง เริ่มแต่วันเข้าพรรษาปี ๒๕๒๗ เป็นต้นมา งานปราบมารมาตกแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออก เมื่อธาตุธรรมท่านร้องขอ เราก็ทำมาแต่ วันนั้น ตราบเท่าทุกวันนี้ ขณะนี้เป็นปี ๒๕๓๙ (เดือนกันยายน) แปลว่า ข้าพเจ้าปราบมารมาแล้ว ๑๒ ปีเต็ม ย่างเข้าปีที่ ๑๓ ครบ ๑๒ ปีเต็มเมื่อวันเข้าพรรษาของปี ๒๕๓๙ คือครบ ๑๒ ปีเต็ม เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๓๙

     ได้เขียนตำราปราบมารไปแล้ว ๓ เล่ม คือ ปราบมารภาค ๑(พิมพ์เมื่อ ๒๕๓๓) ปราบมารภาค ๒ (พิมพ์เมื่อ ๒๕๓๖) และปราบมารภาค ๓ (พิมพ์เมื่อ ๒๕๓๙) และปราบมารภาค ๔ กำลังจะตามมาในโอกาสต่อไป

     กล่าวถึงประสบการณ์ที่เราได้รับ ก็ต้องว่าเป็นโชคดีที่เราได้รู้เรื่องราวในนิพพาน ก่อนนี้เราไม่รู้ เพราะเราเดินวิชาเบื้องต้นอย่างนั้น ครั้นเรามีหน้าที่รับผิดชอบเข้าจริง เราได้รู้เห็น ได้รู้ปัญหา ปัญหาใหญ่คือ มารยึดอำนาจปกครอง การที่มารยึดอำนาจปกครองนี้เอง ทำให้เราไม่แจ้งนิพพาน ได้แต่รู้เรื่องของนิพพานตามตำรา แต่ยังไม่เห็นกับหูกับตาตัวเอง ยังไม่ได้สัมผัสจริง แม้ว่าจะศึกษาจริงจัง ก็ยากที่จะแจ้ง เพราะมารเขาขวางรู้ขวางญาณอยู่ตลอดเวลา ถึงจะรู้เห็นบ้าง ก็เพียงเฉียดเฉี่ยวเท่านั้น จะอ้างว่าบารมีมากหรือบารมีพิเศษ ฟังไม่ได้ทั้งนั้น มารขวางรู้ขวางญาณทั้งนั้น เพราะมารเขาเป็นผู้ปกครอง มารเขาเป็นเจ้าธาตุเจ้าธรรม ยากที่ใครจะรู้ ยากที่ใครจะเห็น ยากที่ใครจะเข้าถึง เสร้างบารมีกันมากๆ ก็เพื่อมรรคผลนิพพาน เราว่าตัวเราบารมีมาก ตัวเรามีบารมีธรรมสูง โปรดอ่านเรื่องราวในหนังสือปราบมาร ๓ เล่มนั้นก่อน เมื่ออ่านทั่วแล้ว จึงมาคิด กันใหม่ ทบทวนอ่านอีกเที่ยวหนึ่ง จึงมาประเมินผลตัวเอง และขอร้องให้สร้างขันติบารมีอีก ครั้งหนึ่ง คือ ให้พากเพียรอ่านให้จบอีกเที่ยวหนึ่ง คราวนี้มาประเมินผลตัวเองดูใหม่ อย่าเพิ่งออกความเห็นก่อนอ่าน เมื่ออ่านไม่จบหรืออ่านไม่ทั่ว โปรดอย่าเพิ่งวิจารณ์ ทำใจเย็นๆ ไว้ก่อน การด่วนออกความเห็นโดยไม่อ่านให้ทั่ว ย่อมเกิดความพลาดพลั้งได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่ผู้มีบารมีธรรม

     นี่คือประสบการณ์ กล่าวไม่ละเอียด หากจะให้ละเอียด ทราบเนื้อวิชา ทราบเรื่องราว ต้องอ่านหนังสือปราบมารทั้ง ๓ เล่มนั้น ข้าพเจ้าตกที่นั่งลำบาก ที่ต้องมามีหน้าที่ปราบมาร ดังนั้น เมื่อรู้เห็นอะไร ก็ควรนำมาเล่าสู่กันฟังบ้าง อย่างน้อยก็เป็นข้อมูลพื้นฐานให้แก่ผู้มีบารมีธรรมได้ศึกษาค้นคว้า

     ครั้นเราเดินวิชารบมาถึงปีที่ ๑๑ เกิดความคิดอย่างหนึ่งสู่ใจคือ เห็นใจหลวงพ่อและ เห็นใจศิษย์ผู้คงแก่เรียนที่ร่วมเป็นเวรทำวิชาปราบมารตามที่หลวงพ่อมอบหมาย งานปราบมารต้องใช่วิชาสูง ใช้ความเพียนสูง ใช้ความอดทนสูง ไม่มีอะไรยากไปกว่านี้แล้ว ทุ่มเทเวลาไปแล้วกว่า ๓๐ ปี ได้งานอะไรบ้าง นี่คือประเด็นที่เราอยากทราบ เพราะผู้รับช่วงงานต้องรู้ต้องทราบ จะไม่รู้ไม่ทราบไม่ได้ เพื่อเราจะได้ทำงานถูก เหมือนการเป็นสมภารเจ้าวัดเหมือนกัน สมภาร องค์ก่อนทำอะไรไว้แค่ไหน สมภารองค์ใหม่จะทำอะไรบ้าง เพราะเรามีหน้าที่มารับผิดชอบงาน เราจะต้องทำงานสานต่อไป

     นี่คือประสบการณ์ เมื่อเดินวิชามาครบ ๑๒ ปี คนที่น่าสงสารที่สุดคือข้าพเจ้า เพราะบารมีธรรมน้อยกว่าหลวงพ่อ เห็นวิชาน้อยกว่า และน้อยกว่าในทุกเรื่อง ความพร้อมที่จะทำวิชา ไม่มีเลย อุปกรณ์ที่จะช่วยทำวิชาไม่มีเลย ไม่มีอะไรเลยในทุกอย่าง ขาดแคลนทุกอย่าง แต่สู้มาด้วยความอดทน ไม่รู้จะหลบเลี่ยงอย่างไร เรียกร้องอะไรจากใครก็ไม่ได้ ปรับทุกข์กับใครก็ไม่ได้ มองไปทางไหน มีแต่ทางตัน สุดท้ายก็ต้องเอาความอดทนเข้าสู้ เขียนหนังสือปราบมารได้ ๓ เล่ม เล่มที่ ๔ และเล่มต่อไปกำลังจะตามมา

     ปีนี้เป็นปีที่ ๑๓ ความคิดเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ที่ว่าปราบมารนั้น ยังไม่ใช่ปราบมาร เดินวิชารบมา ๑๒ ปี เวลา ๑๒ ปีเต็มที่เดินวิชารบมาตลอดนั้น ไม่ใช่ขั้นตอนงานปราบมาร เป็นเพียงไปติดตามทรัพย์สินทั้งปวงที่โจรมาลักขโมยไป นำกลับคืนมา นำกลับคืนมาได้ครบหรือไม่ ยังไม่ทราบ ทั้งนี้ ดูจากข้อมูลที่ได้ ส่วนวิชาปราบมารแท้ เพิ่งทำมาได้ไม่กี่วันนี้เอง

     ผลงานปราบมารจะมีอะไรต่อไป ยังตอบไม่ได้ การเดินวิชาต่อไปนี้จะได้อะไรบ้าง ยังตอบไม่ได้ แม้การเดินวิชาจะทำอย่างไร ต้องอ่านหนังสือปราบมารภาค ๓ จึงจะทราบ

     หนังสือปราบมารภาค ๑ และหนังสือปราบมารภาค ๒ ยังพอมีอยู่บ้าง หากท่านใดสนใจโปรดแจ้งความจำนงให้ข้าพเจ้าทราบ หรือติดต่อไปที่คณะของข้าพเจ้า บริการฟรีทั้งนั้น

     หนังสือปราบมารภาค ๓ โปรดติดต่อที่โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โทร (๐๒) ๘๗๒-๕๙๗๕-๙ โทรศัพท์ถามคุณถนอมศักดิ์ จงพิพัฒน์ยิ่ง

     นี่คือประสบการณ์ ครั้นเดินวิชาปราบมารมาถึงปีที่ ๑๒ ความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้นทันที ความรู้ว่าด้วยวิชาธรรมกายนี้เป็นหลักสูตรกว้าง ละเอียด ลึกซึ้ง หากไม่ทำวิชาปราบมารไว้เป็น ทุนสำรองแล้ว ท่านว่าอันตราย บารมีทั้งปวงที่ท่านสร้างสมไว้นั้น ช่วยได้ยาก เพราะมารไม่กลัว แม้เราได้มรรคผลนิพพาน มารก็ไปรังควานได้ บารมีตัวจริงอยู่ที่ปราบมาร เข้ากายธรรมไปถามพระพุทธองค์ดูได้ ข้อมูลนี้ชัดเจนตั้งแต่ “ปราบมาร ภาค ๓” แล้ว ขอให้ท่านรีบอ่านและเรียนรู้แต่บัดนี้

     เอาอย่างนี้ ให้ท่านติดตามหนังสือปราบมารทั้ง ๓ ภาค แล้วจะรู้เรื่องราวละเอียดกว่าที่กล่าวนี้ เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ต้องรู้ ความรู้อย่างนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ประเทศไหนๆ ก็ไม่มี แม้ข้าพเจ้าก็เพิ่งรู้ตอนที่ทำวิชาปราบมารนี้เอง และหนังสือปราบมารภาค ๔ กำลังจะตามมา งานปราบมารต้องทำทำต่อไป โปรดติดตาม

ประสบการณ์เผยแพร่วิชาธรรมกาย

     ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่า ตัวเองจะต้องมามีชีวิตเกี่ยวข้องกับวิชาธรรมกาย รับราชการมาได้ระยะหนึ่ง ก็มาเปลี่ยนหน้าที่ราชการจากครูมาเป็นศึกษาธิการอำเภอ การเป็นศึกษาธิการต้องไปทำงานบ้านนอกคือ ในต่างจังหวัด เรื่องก็มีอยู่ว่า ท่านเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง เชิญไปเป็นวิทยากรหน้าที่วิปัสสนาจารย์ จากงานปริวาสกรรมของท่าน ข้าพเจ้าก็ไปทำหน้าที่ด้วยความเกรงใจ เพราะการเป็นศึกษาธิการจะต้องขึ้นลงกับพระ ด้วยหน้าที่ราชการเป็นลักษณะนั้น

     นับแต่วันนั้น จวบจนวันนี้เผยแพร่วิชาธรรมกายเรื่อยมา พอตำแหน่งราชการเลื่อนมาเป็นผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัด ก็มาเป็นวิทยากรให้แก่โรงเรียน วิทยาลัยและให้การอบรมผู้บริหาร เป็นเวลาเกินกว่า ๒๐ ปี แต่ที่มีความตั้งใจทำนั้น เริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๖ เพราะได้บันทึกข้อมูลไว้ ก่อนปี ๒๕๑๖ นั้นไม่ได้บันทึกข้อมูล

     เมื่อชีวิตข้าราชการของข้าพเจ้าต้องมาทำอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องเลยตามเลยเรื่อยมา

     สาเหตุของการเขียนตำรานั้น เป็นเรื่องจำยอมอีก คือเราเป็นวิทยากร ใครทำอะไรไม่ได้ ก็มาหาเรา ใครเดินวิชาไม่ได้ ก็มาหาเรา ข้าพเจ้าจึงตกที่นั่งลำบาก จะบ่ายเบี่ยงก็ทำไม่ได้ เพราะเราเป็นวิทยากร จะตอบไม่รู้ได้อย่างไร เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ตลอดชีวิต

     เหตุนี้เอง ข้าพเจ้ากับวิชาธรรมกาย จึงเกี่ยวข้องกันมาตลอด

ท่านอยากสร้างบารมีธรรมบ้าง จะทำอย่างไร

     อย่าเอาแต่คิด คิดแล้วไม่ทำ ไม่มีประโยชน์อะไร คิดแล้วต้องรีบทำ และต้องทำเดี๋ยวนี้ เพราะเรายังมีชีวิตอยู่ คือเรายังไม่ตาย ข้าพเจ้าขอแนะนำดังนี้

     ๑. ซื้อหนังสือรายการที่ข้าพเจ้าเขียนนี้ถวายวัด มอบให้โรงเรียน มอบให้ห้องสมุด
เล่มที่จะถวายวัด และที่จะมอบแก่โรงเรียนนั้น ก็คือ เล่ม “ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย” และเล่ม “วิธีสอนและเทคนิควิธีฝึกให้เป็นธรรมกาย” (คู่มือวิปัสสนาจารย์) เพื่อทางวัดและโรงเรียนจะได้สอนกันไป แค่นี้ก็ได้อานิสงส์แล้ว เล่มใด จำนวนเท่าไร สุดแต่จะพิจารณา

      แต่ถ้าจะซื้อมอบแก่ห้องสมุดแล้ว ต้องพิจารณาว่า ห้องสมุดของเราจะมีใครระดับไหนมาค้นคว้า ให้ท่านเลือกรายการหนังสือได้ตามใจชอบ

      ๒. งานวันเกิดหรืองานศพหรืองานใดๆ หนังสือรายการต่างๆ นี้ใครๆ ก็ต้องการ
บัดนี้ สังคมบ้านเรา นิยมหาหนังสือแจกในงานศพ ข้าพเจ้าไปงานศพมามากแล้ว หนังสือที่แจกเขาไม่อ่าน พอกลับถึงบ้าน เขาก็โยนเข้ากอง แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรอุทิศให้แก่ผู้ตาย

      เอาอย่างนี้ หนังสือแจกงานศพ ให้ท่านติดต่อเนินๆ กับ สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โทร. (๐๒) ๘๗๒-๕๙๗๕-๙ ติดต่อถามคุณถนอมศักดิ์ จงพิพัฒน์ยิ่ง แล้วปัญหาทุกอย่างจะหมดไป หากท่านมีโอกาสไปกรุงเทพด้วยตัวเอง โปรดไปที่ สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง ๖๗๙/๗๑-๗๔ ถนนประชาอุทิศ ซอย ๔๕ เขตราษฎร์บูรณะ ไปดูรายการหนังสือ และข้อตกลงต่างๆ แล้วปัญหาทุกอย่างจะหมดไป

     อานิสงส์ของการสร้างบารมีอย่างนี้ เคยได้ยินหลวงพ่อท่านพูดว่า “เราเป็นอุปการะให้มีการสอนการเรียนวิชาธรรมกายขึ้นที่ใด หากมีใครเห็นดวงใสหรือเห็นพระพุทธรูปขาวใสเกตุบัวตูม อานิสงส์ที่เราได้รับไพศาลนัก บวชพระเป็นพันรูปหมื่นรูปยังไม่เท่า” คงจะอย่างนี้เองที่หลวงพ่อท่านสอนภาวนาตลอดมา แม้สู่ความมีอายุ หลวงพ่อก็ไม่หยุดสอน

     หากกลับมามองกันอีกมุมหนึ่ง คือมองกันในทางโลก ใครก็ตามที่ประพฤติเช่นนี้ เอาใจใส่เช่นนี้ เราได้ชื่อว่า สร้างคุณธรรมให้แก่สังคม หากคนในสังคมมีใจใสใจสว่าง สังคมนั้น ชื่อว่ามีคุณธรรม ชื่อว่าเป็นแผ่นดินธรรม

 

 

บางส่วนจากหนังสือ อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ หน้า 70 : อ่านเพิ่มเติม